“ไทยเครดิต” ธนาคารของคนตัวเล็ก ที่เติบโต All Time High ท่ามกลางเศรษฐกิจท้าทาย
ปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยยังเผชิญกับกับความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT ยังคงแสดงศักยภาพที่น่าจับตามอง ด้วยผลประกอบการ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ “All Time High” ตอกย้ำการเติบโตแบบต่อเนื่อง 6 ปีซ้อน รายได้รวมทะยานแตะ 18,701 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนและกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) สูงถึง 8.6%

โมเดลธุรกิจกลยุทธ์ลูกผสม : เติบโตอย่างคล่องตัว ภายใต้กรอบที่มั่นคง
ไทยเครดิตดำเนินธุรกิจในลักษณะ ‘อยู่ตรงกลางระหว่าง Bank กับ Non-Bank’ เหมือน 2 ร่าง ในหนึ่งเดียว โดยมีสาขาสินเชื่อใกล้กับตลาดเพื่อสามารถเข้าดูแลพ่อค้าแม่ค้าอย่างใกล้ชิด และสาขารับฝากเงินอยู่ในศูนย์การค้า
จุดแข็งของธนาคารไทยเครดิต คือการเข้าใจความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มประกอบการ Micro SME ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลัก และผู้ประกอบการรายย่อย Nano and Micro Finance ที่มีการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนในระบบค่อนข้างยาก ด้วยการปล่อยสินเชื่อที่ เรียกว่า Productive Loan หรือ สินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการเงินในระบบ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่องธุรกิจ หรือต่อยอดธุรกิจได้
ธนาคารปล่อยสินเชื่อให้กลุ่ม Micro Finance โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน มีอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ Micro Finance เฉลี่ย มากกว่า 20% ขณะที่กลุ่ม Micro SME มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเป็นบางส่วน มีอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ Micro SME เฉลี่ย 7-16% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ประมาณ 1-2% ธนาคารมีกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้พอร์ตสินเชื่อที่กระจายตัว โดย NPL เฉลี่ยอยู่ประมาณ 4.0 – 4.5% แต่ยังอยู่ในระดับต่ำถ้าเทียบกับอุตสาหกรรม SME ถือเป็นแนวทาง “High Risk, High Return, High Growth”
รักษาฐานเงินทุนที่สมดุล ภายใต้การบริหารความเสี่ยงเชิงโครงสร้างอย่างรอบด้าน
ในมุมของความเสี่ยงเชิงระบบ เช่น Bank Run ซึ่งเป็น Fundamental Risk ความเสี่ยงภัยที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจพื้นฐานโดยส่วนรวมของอุตสาหกรรมธนาคาร ถือว่าทุกแห่งมีความเสี่ยงตรงนี้ ธนาคารไทยเครดิต จึงเน้นกระจายฐานลูกค้าเงินฝากให้กว้างที่สุด เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยลูกค้าของธนาคารเป็นผู้ประกอบการจริง มีรายได้มั่นคง บัญชีเฉลี่ยอยู่ราวๆ 1–2 ล้านบาท
ส่วนในเรื่อง Liquidity Mismatch การไม่สอดคล้องกันระหว่าง "สินทรัพย์" และ "หนี้สิน" ถือเป็นความเสี่ยงของธุรกิจธนาคารทุกแห่ง เพราะว่าอายุเฉลี่ยของเงินฝากอยู่ที่ประมาณ 1 ปี แต่สินเชื่อบางชนิดมีอายุ 5-10 ปี อย่างไรก็ตามธนาคารไทยเครดิตสามารถบริหารจัดการสมดุลได้ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเงินฝากของธนาคารส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มที่ฝากแบบ Fixed ซึ่งเป็นกลุ่มที่มี ‘เงินเย็น’ ที่ไม่เน้นถอนบ่อย เช่น สหกรณ์ ร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และผู้ประกอบการรายย่อย ดังนั้น Rollover ของเงินฝากจะอยู่ที่กว่า 96% ด้วยการที่เรามอบอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงกว่าธนาคารอื่น ธนาคารจึงมีความมั่นใจในฐานเงินทุน

จัดการต้นทุนอย่างมีชั้นเชิง : เพิ่มสภาพคล่องระยะยาว
เบื้องหลังการเติบโตแบบ All Time High ของธนาคารไทยเครดิต ไม่ได้เกิดจากแค่การปล่อยสินเชื่อเพื่อ “คนตัวเล็ก” เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบริหารจัดการต้นทุน และสภาพคล่องอย่างมีชั้นเชิง โดยมองว่า “เงินฝาก” เป็นแหล่งเงินทุนที่ยืดหยุ่น และมีต้นทุนต่ำกว่าทางเลือกอื่น ยกตัวอย่างเช่นการออก “หุ้นกู้” ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจ เพราะมีหลายสถาบันการเงินต่างประเทศเสนอให้ธนาคารจัดทำหุ้นกู้ แต่เราจะเลือกทำเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันที่ธนาคารหลายแห่งเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ แต่ธนาคารไทยเครดิตยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อได้ต่อเนื่อง สะท้อนความสามารถในการคัดกรองลูกค้า และบริหารหนี้เสีย (NPL) ถึงแม้เราจะปล่อยสินเชื่อในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่า แต่การที่ลูกค้าของเราเป็นผู้ประกอบการจริง ทำธุรกิจจริง เป็นพอร์ตที่ไม่ใช่สินเชื่อบริโภค ในระยะยาวจึงมีความมั่นคงมากกว่า
สำหรับในสภาวะดอกเบี้ยที่เป็นขาลง ธนาคารมองว่างถือเป็นโอกาส เพราะจะทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกค้าน้อยลง ส่งผลโดยตรงกับคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้น โดยอยากให้มองเป็นภาพรวมระยะยาวมากกว่า การที่ลูกค้าสามารถผ่อนชําระแบงก์ได้ ไม่ตกเป็น NPL ถือเป็นสิ่งที่เราให้ความสําคัญที่สุด
มากกว่าการปล่อยสินเชื่อ คือ "เคียงข้าง" กับผู้ประกอบการ
สิ่งที่ทำให้ไทยเครดิตแตกต่างจากธนาคารอื่นคือ “ความเชื่อมั่นที่ว่า ลูกค้ารายย่อยก็สามารถเติบโตได้ หากได้รับโอกาสและความรู้ที่เหมาะสม” ลูกค้ากลุ่มนี้เข้าถึงเงินกู้ในระบบได้ค่อนข้างยาก กลายเป็นปัญหาชีวิต หากเรามอบความรู้ ซึ่งนับเป็นความสัมพันธ์ในอีกมิติหนึ่ง ลูกค้าไทยเครดิตจำนวนไม่น้อยที่เริ่มต้นด้วยเงินกู้ก้อนแรก กลับมากู้ซ้ำเมื่อจบการผ่อนและกลายเป็นลูกค้าประจำ จนสามารถพัฒนาขยายธุรกิจไปเรื่อยๆ พร้อมกับธนาคาร

“สินเชื่อของเราไม่ใช่เพื่อการบริโภค แต่เพื่อสร้างธุรกิจของเขา และธุรกิจก็คือชีวิตของเขา เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของเรากับลูกค้าก็คือ ‘การเดินทางเคียงข้าง’ โดยนอกจากด้านสินเชื่อ ธนาคารก็ยังมีโครงการมอบองค์ความรู้เพื่อให้ลูกค้าได้บริหารจัดการการเงินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยดำเนินการมาต่อเนื่องมากว่า 9 ปี จนเป็นที่ยอมรับจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคม” นายวิญญูกล่าว
การปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อย ยิ่งเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีหลักประกัน หลายๆ คนมองว่าเป็นลูกค้ารายเล็ก มีความเสี่ยงสูง ที่สามารถหนีหนี้ง่าย ย้ายแผงก็หายไป แต่ความจริงคือธุรกิจนั้นคือทั้งชีวิตของเขา ถ้าทิ้งธุรกิจตรงนี้ไป พวกเขาจะเอาอะไรกิน โดยธนาคารไทยเครดิตมีความเข้าใจในพฤติกรรมการใช้ชีวิตของลูกค้า มองว่าเป็น "โอกาส" และเราพร้อมจะเติบโตเคียงข้างผู้ประกอบการรายย่อย
ลงทุนด้านดิจิตัล เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
ธนาคารได้มีการลงทุนด้านดิจิตัลพัฒนาแอปพลิเคชัน Mobile Banking และ E-wallet เพื่อรองรับประสิทธิภาพการทำงาน และรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดเวลาทำงานของพนักงาน เพิ่มเวลาให้สามารถดูแลลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องของการบริหาร Cost to Income Ratio ที่จับต้องได้ นอกจากระบบหลังบ้านที่ทันสมัย ไทยเครดิตยังให้ความสำคัญกับพนักงานด้วยการพัฒนาทักษะความรู้ของพนักงาน เช่นพนักงานคัดกรองสินเชื่อ หรือพนักงานเก็บหนี้ให้มีคุณภาพ เพื่อการคัดกรองลูกค้า อนุมัติสินเชื่อ รวมถึงติดตามหนี้ได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ทำให้แม้ว่า NPL ของอุตสาหกรรมธนาคารจะเพิ่มขึ้น แต่ธนาคารยังสามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ยังมีแผนการลงทุนพัฒนา Digital Platform เพื่อมอบประสบการณ์บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น รักษาลูกค้าให้อยู่กับธนาคารในระยะยาว
ส่วน Landscape ของ Virtual Banking เทรนด์ใหม่ในวงการการเงิน ที่เริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ วันนี้มองว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น เรายังไม่เห็น Success Case ที่พิสูจน์ได้จริง และยังไม่รู้ว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้จะไปทางไหนธนาคารจึงยังคงยึดมั่นในโมเดลที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่า “ทำได้จริง” แต่เราจะไม่ปิดตา เรามีการเตรียมความพร้อมในปรับตัวไปกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาแน่นอน